Home







กูกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้ ไอ้อีมันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโครต ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น.
ดวงชะตาเมือง

เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เป็นวันที่ถือว่าเป็นวันเกิดของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งการทำพิธีวางฤกษ์อย่างใหญ่โตตามพิธีสร้างเมืองสำหรับท้าวพระยามหากษัตริย์ วันนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งทรงเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยมหาสมณะชีพราหมณ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของชนชาติไทยได้เข้ามาร่วมทำพิธีกันเป็นเวลา 4 วัน 4 คืน

ตามประเพณีของการสร้างเมืองนั้น มีคำบอกกล่าวกันมาว่าที่หลุมฝังเสาหลักเมืองนั้นจะต้องฆ่าคนที่มีชื่อตามโฉลก คือ อิน, จัน, มั่น, คง เพื่อทำหน้าที่รักษาเมืองให้มีความรุ่งเรืองมั่นคง แต่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้นไม่มีคนที่มีชีวิตถูกนำไปสังเวยไว้ในหลุมตามที่เล่าลือกัน เป็นแต่มี งูเล็ก 4 ตัว ไปนอนฝังตัวอยู่ก้นหลุมโดยไม่มีใครเห็น จนกระทั่งหย่อนเสาลงไปในหลุม และถึงเวลากลบเสาแล้วจึงปรากฏว่างูเล็กทั้ง 4 ตัวนั้นเลื้อยอยู่ที่ก้นหลุม และโดยไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ เพราะพิธีการต่างๆ ได้กระทำเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ก็จำเป็นต้องกลบดินลงไปจนไม่คำนึงถึงงูทั้ง 4 ตัวนั้นอีกต่อไป

แต่ทั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขุนโหรและผู้รู้ทั้งสมณะชีพราหมณ์ทั้งหมดก็ได้เห็นได้รู้กันว่า นั่นเป็นเรื่องอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อบอกกล่าวว่าจะต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ไม่อาจจะทำนายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น?

แต่เรื่องราวในวันนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารที่มีชื่อว่า จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี มีข้อความว่า

"ณ วันอาทิตย์ เดือน 7 ขึ้น 1 ค่ำ ปีระกาเอกศก เวลาบ่าย 3 โมง 6 บาท อสุนีบาติพาดสายตกติดหน้าบันมุขเด็จเบื้องทิศอุดร ไหม้ตลอดทรงบนปราสาท ปลายหักฟาดลงพระปรัสซ้ายเป็นสองซ้ำลงซุ้มพระทวารแต่เฉพาะไหม้พระโองการตรัสว่า เราได้ยกพระไตรปิฎก เทวาให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมืองจึงเสียปราสาท ด้วยชะตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์เมือง จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี"

คนไทยทุกคนหรือส่วนมาก จะเคยได้ยินคำว่าดวงเมืองหรือดวงชะตาเมืองกันมาแต่อาจจะไม่เคยสนใจความสำคัญของดวงเมืองที่พูดกันนั้นว่า มันมีความสำคัญเพียงไร บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องความเพ้อฝันหรืองมงายไปก็ได้

แต่สำหรับผู้ปกครองประเทศของไทย เฉพาะพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตั้งแต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ดวงชะตาเมื่อที่ว่านี้มาเป็นประโยชน์ในการบริหารและการปกครองประเทศไม่มากก็น้อย ทุกพระองค์ทรงใช้มาทั้งนั้น

ดวงชะตาเมืองที่ผูกขึ้นตามวันเวลาในวันนั้น ได้เป็นเครื่องมือชี้ทางให้พระองค์ดำเนินการปกครองบ้านเมืองมาตลอด

เฉพาะในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพร้อมด้วยสมณะชีพราหมณ์จำนวนมากร่วมชุมนุมวางฤกษ์ดวงเมืองและฝังเสาหลักเมืองนั้น พระองค์ได้ประสบการณ์สองประการก็คือในขณะที่พราหมณ์ปุโรหิต และสมณะชีพราหมณ์นั่งล้อมกันทั้งปะรำบริเวณที่จะฝังเสาหลักเมืองและขุดหลุมเอาผ้าปูก้นหลุมพร้อมด้วยสรรพเวทย์มหายันต์รองไว้อย่างเรียบร้อยเห็นกันอยู่ทุกตัวคน เมื่อเอาเสาหลักเมืองที่ทำด้วยไม้กัลปพฤกษ์ลงไปนั้น ก็ปรากฏว่างูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนอยู่ และต้องฝังทั้งเป็นลงไป ทั้งพระองค์และผู้รู้ในสมัยนั้นเกิดความเป็นห่วงกังวลว่า อะไรจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองต่อไปอีก หลังจากที่สงครามเก้าทัพของพม่าที่มาประชิดบ้านเมืองอยู่ ไม่ได้ถือว่าการลงไปนอนตายในหลุมหลักเมืองของงูทั้งสี่ตัวนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถือว่ามันเป็นอาถรรพณ์ที่บอกกล่าวว่าจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายแก่บ้านเมืองแน่นอน!

หลังจากเรียกประชุมชีบานาสงฆ์และผู้รู้ขบคิดกัน ก็ไม่มีใครสามารถจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กี่วันก็เกิดฟ้าผ่าลงที่ยอดปราสาทพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยขึ้นมา ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายออกมาได้ว่าบ้านเมืองในระยะนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นร้ายแรง แต่อีก 150 ปีข้างหน้ากรุงเทพฯตามดวงชะตาเมืองมันก็จะเปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งพระองค์ทรงรับสั่งว่า "จะถาวรลำดับกษัตริย์ไปอีก 150" ซึ่งต่อมาเมื่อถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ก็มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นความแม่นยำและถูกต้องอย่างไม่น่าเชื่อ        

ดวงชะตาเมืองที่ได้มีการฝังหลักเมืองในวันที่ 21 เมษายน 2325 เต็มไปด้วยบรรยากาศของอิทธิและอาถรรพณ์หลายประการ เฉพาะอย่างยิ่งที่คนโบราณเชื่อกันก็คือ ทั้ง 4 มุมเมืองนั้น ถูกฝังอาถรรพณ์สรรพเวทย์มหายันต์ไว้ทั้งสี่ทิศเพื่อป้องกันศัตรูและเสนียดจัญไร อันตราย และคนชั่วที่จะเข้ามาก่อกวนให้เกิดเป็นภัยต่อบ้านเมือง ไม่ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ประการใด

ในสมัยก่อนนั้น คนโบราณทุกคนจะต้องมีคาถาอาคมและของขลังติดตัวกันทุกคน เฉพาะผู้เชี่ยวชาญในเวทมนตร์คาถาที่จะเสกเป่าหรือทำพิธีอะไรแสวงหาประโยชน์นั้น เชื่อกันว่ามีจริงๆ แต่คนเหล่านี้ถ้าเข้ามาในบริเวณกรุงเทพฯแล้ว ไม่ว่าจะมุมไหนใน 4 มุมนั้น เวทมนตร์คาถาที่ว่าขลังและมีอิทธิฤทธิ์ จะสูญสิ้นไปทันที

คำสาปแช่งและอาถรรพณ์นานาประการ ยังคงมีความสำคัญอยู่ และยังน่าจะเชื่อกันได้ต่อไปว่าอาถรรพณ์และความศักดิ์สิทธิ์ที่โบราณได้ปลุกเสกไว้ทั้งสี่มุมเมืองนั้น น่าจะยังมีความสำคัญอยู่แน่

เฉพาะอย่างยิ่ง คนชั่วที่มีชีวิตอยู่ด้วยความทุจริตคิดมิชอบต่อบ้านเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่การคอรัปชั่นกินบ้านกินเมืองกันอย่างอึกทึกครึกโครมทุกวันนี้ ก็ไม่น่าจะสวัสดีมีชัยกันไปได้อย่างวัฒนาถาวรไปนานนัก เพราะเมื่อนำดวงดาวที่มีอยู่ในดวงชะตาเดิมเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 และดาวจรที่โคจรอย่างน่าดูอยู่ทุกวันนี้มาดูกัน

ตำนาน อิน จัน มั่น คง

มีเรื่องเล่าสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ว่าในพิธีสร้างพระนคร ต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ ๔ ประตูเมือง และ พิธีฝังเสาหลักเมือง การฝังอาถรรพ์ กระทำด้วยการป่าวร้องเรียกผู้คนที่มีชื่อ อิน-จัน-มั่น-คง ไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายขานรับ ก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมทั้งเป็น ทั้ง ๔ คน เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท คอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดแก่คนในนคร เรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ไม่มีบันทึกในพงศาวดาร

ศาลหลักเมือง

ใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีสีเขียว และความร่มรื่นของต้นไม้แห่งนี้ มีเสียงแห่งประวัติศาสตร์ก้องอยู่ ณ ที่นี้... เสียงสะท้อนแห่งที่มาของกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ ได้ถูกจารึกเป็นเครื่องหมายไว้ที่นี่ ด้วย "หลักเมือง" พร้องเสียงร่ำร้องจากอดีตถึงพิธีกรรมในการตั้งหลักเมือง นับเนื่องจากอดีต พิธีการตั้งเสาหลักเมืองไม่ใช่แบบแผนของชาวพุทธ แต่เป็นธรรมเนียมของพราหมณ์ที่มีมาแต่สมัยอินเดีย เรื่องของพิธีกรรมและไสยศาสตร์ จึงเข้ามาเกี่ยวข้อง และเกิดเสียงเล่าขาน เป็นเรื่องราวพิสดารจากผู้เฒ่าในกาลก่อนว่า…

ครั้งโบราณถือว่าพิธีสร้างพระนคร หรือสร้างบ้าน สร้างเมือง จะศักดิ์สิทธิ์ต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ ๔ ประตูเมือง และต้องฝังเสาหลักเมืองแม้เสามหาปราสาทก็เช่นกัน การฝังอาถรรพ์ กระทำด้วยการป่าวร้องรียกผู้คนที่มีชื่อ อิน, จัน, มั่น และคง ไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองเคราะห์ร้ายขานรับ ก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมเป็นๆ ทั้ง ๔ คน เพื่อให้ดวงวิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าปราสาท และประตูเมือง คอยคุ้มครองบ้านเมือง.. ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยมิให้เกิดแก่คนในนคร เรื่องราวเช่นนี้ มีเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

แม้ในการตั้งเสาหลักเมืองแห่งกรุงเทพมหานคร ก็ยังมีการกล่าวถึงว่าเมื่อครั้งพระบามทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานี พระองค์ทรงโปรดเกล้าให้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ราษฎรและเพื่อเป็นนิมิหมายแสดงที่ตั้งแห่งพระนคร เมื่อวันที่ ๒๑ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๓๒๕ ซึ่งเสาหลักเมืองที่ใช้เป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ ที่ประกับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ที่มี เส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๕ เซนติเมตร สูง ๒๗ เซนติเมตร ที่มีความสูง ๑๘๗ นิ้ว และบรรจุดวงเมืองไว้ที่ยอดเสารูปบัวตูมบรรจุดว งชะตาของกรุงเทพฯ

แล้วได้มีการสร้างเสาหลักเมืองใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แทนของเดิมที่ชำรุดเป็นไม้ชัยพฤกษ์สูง ๑๐๘ นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง ๗๐ นิ้วมีอาคารยอดปรางค์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในครั้งนั้นเล่ากันเป็นเรื่องพิสดารว่าก่อนตั้งเสาหลักเมือง พราหมณ์ได้ถือเอาฤกษ์ตามวันเวลา ภายในศาลหลักเมืองยังมีเทวรูปเจ้าพ่อสำคัญอีก ๕ องค์ คือ เทพารักษ์ เจ้า พ่อหอกลอง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อเจตคุปต์ และพระกาฬไชยศรี

ซึ่งหญิงมีครรภ์จะเดินเข้ามาใกล้ปากหลุม ครั้งถึงวันเวลานั้น หญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาใกล้ปากหลุมจึงถูกผลักลงหลุมไป และทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองฝังร่างหญิงคนนั้นไว้กับเสา เรื่องราวน่าเวทนาที่ใช้ชีวิตคนเป็นๆ ฝังไว้กับเสานี้ ไม่มีข้อมูลใดๆ มายืนยัน คงเป็นแต่เพียงเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาแม้ในพงศาวดารก็ไม่มีบันทึก ด้วยการตั้งเสาหลักเมืองถือเป็นพิธีมหามงคล ซึ่งพระมหากษัตริย์กระทำเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ราษฎร การนำชีวิตผู้คนมาฝังทั้งเป็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องมงคลจึงไม่น่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจเป็นด้วยกาลเวลาหรือผู้เล่าเห็นแปลกในการประกอบพิธีกรรมอย่างพราหมณ์จึงแต่งเติมเรื่องราว ให้ดูแปลกไปเหมือนอย่างนิยายปรัมปรา

ในกาลต่อมา เมื่อเสาหลักเมืองและตัวศาลเริ่มชำรุดด้วยกาลเวลาที่ล่วงไป จนลุเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ผู้ทรงปรีชาชาญในด้านโหราศาสตร์ ได้ตรวจดวงชะตาบ้านเมือง และพบว่าดวงชะตาของพระองค์เป็นอริแก่ลัคนาดวงเมือง จึงโปรดเกล้าให้ขุดเสาหลักเมืองเดิม และจัดทำเสาหลักเมืองขึ้นใหม่ ด้วยแกนไม้สักประกับนอกด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ๖ แผ่น บรรจุดวงเมืองในยอดเสาทรงมัณฑ์ที่มีความสูงกว่า ๕ เมตร และอัญเชิญหลักเมืองเดิม และหลักเมืองใหม่ประดิษฐานในศาลใหม่ที่มียอดปรางค์ ก่ออิฐฉาบปูนขาว เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๙๕

จากนั้นมา ศาลหลักเมืองก็ได้รับการปฏิสังขรณ์อีกหลายครั้ง จวบจนปัจจุบัน ศาลหลักเมืองได้รับการบูรณะอย่างสวยงามภายในตัวมณฑปด้านทิศเหนือได้ถูกจัดสร้างเป็นซุ้มสำหรับประดิษฐานเทพารักษ์ทั้ง ๕ คือ เจ้าพ่อหอกลอง, เจ้าพ่อเจตคุปต์, พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, และพระกาฬไชยศรี โดยมีเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ ๔ ตั้งอยู่ด้านหน้า และเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ ๑ ตั้งอยู่ทางช่องประตูมุขขวา ในวันนี้ เสียงลือเสียงเล่าถึงเรื่องราวของผู้สังเวยชีวิตที่ก้นหลุมเสาหลักเมือง ได้ลางเลือนไปตามวันเวลา เป็นเรื่องเล่าปรัมปราที่ยังไร้เหตุแห่งความจริง

คงเหลือไว้เพียงภาพปัจจุบัน ของความเชื่อถือศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์แห่งเสาหลักเมือง ซึ่งอยู่ภายในศาล ที่ผู้คนยังคงแห่แหนจากทั่วสารทิศ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อพึ่งพาอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้คอยปกปักรักษา ปกป้องคุ้มภัย

" ทุกวันนี้ศาลหลักเมืองจึงยังคงประดุจหลักใจ หลักชัย ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ดังพระประสงค์ขององค์ปฐมบรมกษัตริย์เฉกเช่นที่เคยเป็นมาแต่ครั้งอดีต จวบจนปัจจุบัน"

Free Web Hosting